รีวิว Holding the man

เป็นหนังที่เริ่มมาจากนิยายที่วางขายไม่ได้จนได้เกิดเป็นหนังที่ย้อนไปในยุค80-90เพื่อดูความสัมพันธ์15ปีของคู่เกย์คู่หนึ่ง

รีวิว Holding the man เนื้อหา

จากนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของ Tommy Murphy (เพิ่งมีฉบับแปลภาษาไทยในชื่อ “ในอ้อมกอดเขา” สำนักพิมพ์ Bear Publishing วางขายได้ไม่นาน) สู่ภาพยนตร์ที่พาเราย้อนวันเวลาไปสู่ยุค 80 – 90 เพื่อดูความสัมพันธ์ในรอบ 15 ปีของคู่รักเกย์คู่หนึ่งในออสเตรเลีย นับจากวันที่พวกเค้าเป็นเพียงนักเรียนไฮสกูล แล้วเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากครอบครัว เมื่อรู้ว่าลูกๆ ของพวกเค้าคบหากัน สู่ช่วงเวลาวัยรุ่นที่พยายามแสดงตัวตนให้สังคมได้เห็นว่าความรักของพวกเค้าเป็นเช่นไร ก่อนจะต้องรับมือกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตเกย์ทั่วโลกราวกับใบไม้ร่วง Holding the man เป็นหนังที่ฉายตั้งแต่ พ.ศ. 2558 แต่เราเพิ่งจะเคยดู ตอนดูเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันเรียลมาก เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ค่อยๆเล่าเรื่องของชาย 2 คนที่ค่อยๆเติบโตขึ้นตามกาลเวลา ทำให้เราได้รู้สึกเข้าถึงตัวละครมาขึ้น จนตอนแรกเราไม่รู้เหมือนกันว่าสร้างจากเรื่องจริง ดูจบแล้วถึงเพิ่งรู้ เพราะในหนังขึ้นรายละเอียดว่าทิมเสียชีวิตหลังจากเขียนเรื่องนี้จบประมาณหนึ่งปี ดูหนังออนไลน์

รีวิว Holding the man

เราว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรียลได้ขนาดนี้ นอกจากจะเพราะเป็นเรื่องจริงแล้ว นักแสดงเองก็สื่อสารอารมณ์ออกมาได้ดีไม่แพ้กัน ผู้กำกับและทีมงานก็ใส่รายละเอียดได้อย่างครบถ้วน ไม่เว้นแม้กระทั่งฉากกินยา
เกลียดครึ่งแรกของหนังมากๆ และหลงรักครึ่งหลังของเรื่องมากๆ จนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็พบว่าเราไม่เชื่อในการแสดงของสองนักแสดงนำในช่วงต้นของเรื่องเลย มันไม่ผิดหรอกที่ผู้กำกับจะเลือกใช้นักแสดงคนเดียวคนเดิมให้รับบทบาทแสดงตั้งแต่วัยเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เทคนิคทางการแสดงของพวกเค้าต้องมีมากกว่านี้ กับการทำให้เราเชื่อว่าที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหนุ่มกระฉับกระเฉง ไร้เดียงสา และลุ่มหลงในกันและกัน แล้วก็ต้องยอมรับตามตรงว่า หน้าตาของ Ryan Corr ในบท Tim และ Craig Stott ในบท John มันเลยวัยไปมากทีเดียว มากไปกว่านั้น พวกเค้าต้องสร้างพัฒนาการของตัวละครให้เห็นด้วย ซึ่งสิ่งที่เห็นตรงหน้า สิ่งที่ตัวละครพบเจอมันหนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ ดูหนังฟรี
  รีวิว Holding the man 2
เรื่องเริ่มต้นเล่าที่ปี ค.ศ. 1970 ได้ทำให้เรารู้ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาก่อน
ฉากหนึ่งที่เราชอบคือทั้ง 2 คนจีบกันผ่านโทรศัพท์บ้าน ในสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออาจจะเริ่มมีแล้วแต่ราคาแพงมากและยังไม่แพร่หลาย เพราะฉะนั้นการโทรไปบ้านของอีกฝ่าย มักจะผ่านพ่อแม่ที่เป็นคนรับสายก่อน และยังต้องลุ้นว่าคนที่เราโทรหาจะอยู่บ้านหรือไม่
ต่อมาหลังจากตกลงเป็นแฟนกัน ทั้ง 2 คนก็ต้องปกปิดความสัมพันธ์นี้ไว้ เพราะสมัยนั้น ผู้คนยังไม่ยอมรับความรักของคนเพศเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรืออาจจะผิดกฎศาสนา แต่แล้ววันหนึ่ง ความลับของทั้งคู่ก็ถูกเปิดเผยโดยบังเอิญ พ่อแม่ของทั้ง 2 คนไม่ยอมรับ และคงไม่ยอมให้ความรักครั้งนี้เกิดขึ้น แต่สุดท้ายจอห์นและทิมก็ยังยืนยันคบกันต่อไปและย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน  หลังจากย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน เรื่องเล่าข้ามมาถึงช่วง ปี ค.ศ. 1980 ช่วงนี้เป็นช่วงวัยทำงาน ในเรื่องไม่ได้เล่าเเน่ชัดว่าจอห์นทำงานอะไร ส่วนทิมเริ่มสานฝันการเป็นนักแสดงต่อ ในช่วงนี้เริ่มเเสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนเเปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแม่ของจอห์นและทิม ที่เริ่มยอมรับเพศสภาพของลูกชายตัวเองมากขึ้น ในขณะที่พ่อยังยอมรับไม่ค่อยได้เเต่ก็เริ่มต่อต้านลดลง ในสมัยนี้เองที่คนในสังคมบางส่วนเริ่มยอมรับความรักของเพศเดียวกันมากขึ้น ชายรักชาย หญิงรักหญิงเริ่มเปิดเผยความรักของพวกเขาในที่สาธารณะมากขึ้น จอห์นและทิมเองก็ได้เข้าร่วมสมาคมที่เรียกร้องความเท่าเทียมให้กับคนที่รักเพศเดียวกัน นอกจากนี้ทั้ง 2 คน ยังเริ่มมีปัญหากันทั้งเรื่องความหึงหวงและงานของทิม คือตัวทิมเอง อยากลองมีอะไรกับคนอื่นนอกจากจอห์น และทิมเองก็ต้องการไปเรียนการเเสดงเพิ่ม ทำให้ทั้ง 2 คนต้องห่างกัน ในช่วงเวลาที่ห่างกันไปนี่เองที่เราเดาว่าต่างฝ่ายต่างน่าจะมีใครอีกคนก่อนจะกลับมาคบกันอีกครั้ง จนทำให้เราต้องลุ้นตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เพราะเรื่องเล่าว่าทิมก็มีอะไรกับชายคนอื่น แต่ไม่ได้เล่าถึงจอห์นว่าเป็นอย่างไรบ้าง ในช่วงรอยต่อปี 1980-1990  ดูหนังออนไลน์ 
  รีวิว Holding the man
มีฉากหนึ่งที่ทิมมีโอกาสสัมภาษณ์ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชายรักชายเหมือนกัน ชายคนนี้เป็นโรคเอดส์ ซึ่งในขณะนั้นกำลังระบาดหนักในกลุ่มคนรักร่วมเพศ  และมีประโยคหนึ่งที่ชายคนนั้นย้อนถามทิมกลับว่าทิมมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวเองไม่เป็นเอดส์ ทิมมีคู่นอนคนเดียวจริงๆหรือ ทิมและจอห์นจึงตัดสินพากันไปตรวจ HIV โชคร้ายที่ทั้งผลเลือดเป็นบวก คือทั้งคู่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเอดส์ ในช่วงเวลานั้นโรคเอดส์กำลังระบาดหนักในกลุ่มรักร่วมเพศ จนมีคำว่าพูดที่ว่าเกย์เท่ากับเอดส์ แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็ไม่พลาดที่จะใส่ประโยคนี้เข้าไปด้วย  ( ก่อนหน้านี้โรคเอดส์เคยระบาดมากในกลุ่มรักร่วมเพศ ก่อนจะเปลี่ยนมาระบาดในกลุ่มหญิงให้บริการ และแพร่มาสู่ครอบครัวในสุด เพราะคนที่ไปเที่ยวบริการทางเพศนำมาติดคู่สามีภรรยาของตนเองอีกทอดหนึ่ง) หลังรู้ข่าวร้าย จอห์นพูดทำนองว่า ทิมอาจจะติดจากจอห์น ฉากนี้แหละที่ทำให้เราเดาว่า ในระหว่างที่แยกกัน จอห์นเองก็คงมีคนอื่นเช่นเดียวกับทิม
ในช่วงระยะเวลานี้มีหลายฉากที่เราประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ครอบครัวของทั้ง 2 คนรับรู้ว่าพวกเขาเป็นเอดส์ แต่ก็ยังพูดคุยและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างคนปกติ มันเเสดงออกว่าคนในครอบครัวน่าจะเข้าใจถึงตัวโรค และการติดต่อแพร่กระจายของโรค ถึงอย่างนั้น เราก็ชอบครึ่งหลังมากๆ เพราะพอเล่าในตอนที่ตัวละครเริ่มเติบโตแล้ว เราก็เริ่มเชื่อในตัวละคร ทั้งรูปร่างหน้าตา การแสดง และชอบความซับซ้อน ของมิติทางอารมณ์ของตัวละครมากๆ ตั้งแต่ความพยายามปลีกตัวออกห่างของ Tim เพื่อต้องการพื้นที่ อิสระ และการได้ใช้ชีวิตเกย์ที่สนุกกับชีวิตเซ็กส์กับคนอื่นๆ บ้าง และยิ่งพอมันเล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ กับประเด็นเอชไอวี/เอดส์ เราก็ชอบมาก เพราะในขณะที่หนังที่เล่าเรื่องตัวละครผู้เผชิญหน้า กับเอชไอวีเรื่องอื่นๆ มักจะต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง แต่นี่คือคู่รักเกย์ที่ต้องรับมือกับมันไปด้วยกัน ยิ่งเมื่อมันพูดถึงความรู้สึกดีหรือรู้สึกผิดกับประเด็นว่า ใครติดเชื้อก่อนใคร และใครน่าจะแพร่เชื้อให้ใครกันแน่ ถึงหนังจะเต็มไปด้วยช่วงเวลา เคร่งเครียด อึดอัด กดดัน ผสมผสานไปกับความสัมพันธ์กันร้อนแรงและโรแมนติกของ Tim กับ John แต่เรากลับชอบช่วงเวลาที่พวกเค้าใช้กับตัวละครอื่นๆ มากกว่า ทั้งกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนไฮสกูลของพวกเค้า ที่ไม่ได้รับได้กับความสัมพันธ์นี้ไปซะหมด หรือสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเค้ากับพ่อแม่ของตัวเอง ชอบพ่อแม่ของ Tim มากๆ (Guy Pearce รับบทเป็นพ่อที่หล่อมาก) นี่คือพ่อแม่ที่พยายามเข้าใจลูกถึงที่สุดในตัวตนทุกด้านของลูกจริงๆ จนทำให้รู้สึกดีกับตัวละครไปด้วย รีวิวหนังวาย
 
อีกฉากหนึ่งที่ต้องเขียนถึงคือ สภากาชาดโทรมาหาทิมเพื่อขอตรวจเลือดของทิม และเเจ้งว่ามีคนไข้หลายคนที่ได้รับเลือดแล้วติดโรคเอดส์ จึงขอตรวจสอบผู้ที่เคยบริจาคเลือด ฉากนี้เองที่เป็นตัวเฉลยว่าความจริงเเล้วน่าจะเป็นทิมที่นำโรคเอดส์มาติดจอห์นมากกว่า จริงๆแล้วทิมอาจจะมีเชื้อไวรัส HIV แฝงอยู่หลายปีแล้วก่อนจะตรวจพบ แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งการดำเนินโรคเป็นแบบนี้จริงๆ บางคนได้รับเชื้อไปเเล้วเป็น 10 ปี กว่าจะเเสดงอาการ และระยะนี้แหละที่น่ากลัวเพราะผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัว และมีโอกาสไปเเพร่เชื้อให้คนอื่นต่อ จนทำให้สังคมในยุคนั้นไม่ยอมรับ
แต่ประเด็นที่เราชอบคือผู้สร้างหนังใส่ใจในรายละเอียด ไม่ได้ตัดเรื่องที่ว่ามีคนไข้ติดเชื้อจากการรับเลือดออกไป เพราะเมื่อก่อนเลือดที่ได้รับการบริจาคมายังไม่มีการคัดกรองที่ดี และยังไม่มีการตรวจเอดส์ ทำให้มีคนไข้หลายคนติดโรคเอดส์จากการรับเลือด เราเองยังเคยเจอคนไข้เป็นธาลัสซีเมีย ต้องได้รับเลือดเป็นประจำ เขาเล่าให้ฟังว่าติดโรคเอดส์ตั้งแต่ตอนอายุประมาณ 5-6 ขวบจากการรับเลือดนี่แหละ บันทึกเล่มนี้ของทิมเล่าตั้งแต่การจีบกัน จนถึงการลาจากความรักที่เหนียวแน่นยาวนาน พร้อมทั้งน้ำเสียงวิจารณ์สังคมที่แนบเนียนไปกับความโรแมนติกของห้วงรัก ทำให้ได้ฟินตามๆกันไปพอสมควร อย่างในช่วงเปิดเรื่องที่อิงกับประสบการณ์ครั้งที่ทิมเรียนอยู่ในโรงเรียนศาสนา เขาได้กล่าวถึงสภาพสังคมช่วงนั้นของโลกตะวันตกที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของการเรียกร้องเสรีภาพและการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกันครูในโรงเรียนก็ยังคงใช้อำนาจกดนักเรียน และยังพยายามปลูกฝังแนวคิดทางอนุรักษ์นิยม ทิมได้เอ่ยถึงการพัฒนาทางสังคมภาพใหญ่ตั้งแต่นโยบายกัญชาจนถึงมนุษย์เหยียบดวงจันทร์ แต่ก็ยังมีผู้เคร่งครัดในศีลธรรมของตนที่แกมบังคับให้ผู้อื่นเห็นงามด้วยกับกรอบศีลธรรมเหล่านั้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าภาพใหญ่และภาพเล็กเป็นอย่างไรในตอนเมื่อเขายังเด็ก เป็นการปูบริบทให้เห็นถึงความสำคัญของสังคมส่วนย่อยและวิจารณ์ถึงโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง แต่อุดมการณ์บางส่วนของบางคนก็ไม่สามารถวิวัฒนาการไปสู่ระบบคิดใหม่ ๆ ได้ และนี่คือปฐมบทของการแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของสังคมที่ไม่ยอมรับรักแบบเพศเดียวกัน
 
แม้จะไม่แสดงภาพของการกดขี่นั้นออกมาตรง ๆ ก็ตาม ความแยบยลของทิมคือการโยงมิติความรักที่เหมือนจะเป็นเรื่องส่วนตัวเข้ากับภาพใหญ่ของสังคมที่ส่งผลถึงกันอย่างแยกไม่ได้ ทั้งๆที่อะไรหลายๆอย่างมันควรจะดีกว่านี้ เช่นการตั้งคำถามว่า ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ต้องก้าวข้ามจากสิ่งใดไปสู่สิ่งใดบ้างจากการพัฒนาถนนสู่ดวงจันทร์ แน่นอนว่าการเหยียบดวงจันทร์ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่จากความรักตามขนบไปสู่ความรักที่กว้างขวางไร้ข้อจำกัดล่ะ จะเกิดขึ้นได้เมื่อไร
เเต่เราอยากจะเสริมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการบริจาคเลือด อย่างที่เราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ว่า เมื่อก่อนเอดส์ระบาดมากในกลุ่มรักร่วมเพศ ทำให้สภากาชาดออกเงื่อนไขมาว่าไม่รับบริจาคเลือดจากกลุ่มรักร่วมเพศ ปัจจุบันเงื่อนไขข้อนี้ยังคงอยู่ ซึ่งเรามองว่าอยากให้ยกเลิกไป เพราะทุกวันนี้ โรคเอดส์ไม่ได้แพร่เฉพาะในกลุ่มรักร่วมเพศเหมือนแต่ก่อน เงื่อนไขนี้จึงดูไม่ยุติธรรมสำหรับคนกลุ่มนี้ ที่ก็มีใจอยากจะบริจาคเลือดเช่นกัน เว็ปดูหนังฟรี
 
ออกนอกเรื่องไปไกล ขอวกกลับมาที่หนังต่อ ช่วงท้ายของเรื่องเล่าว่าจอห์นเกิดภาวะเเทรกซ้อนจากการเป็นเอดส์ นั่นคือมะเร็ง อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะงงว่าเอดส์ทำให้เป็นมะเร็งได้ด้วยหรือ จริงๆเเล้วเอดส์ (AIDS) เป็นคำย่อของ Acquired immune deficiency syndrome
แปลว่า ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในคนปกติ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันมากำจัดเชื้อโรคและเซลล์ที่ผิดปกติ แต่ในคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องและจะมาทำให้ร่างกายจะไม่สามารถจัดการกับเชื้อโรคที่เข้ามาหรือเซลล์ที่ผิดปกติใตตัวเองได้ ซึ่งเซลล์ที่ผิดปกตินี้จะเเบ่งตัวไปเรื่อยๆและเป็นจุดกำเนิดของมะเร็ง ในตอนที่จอห์นเป็นมะเร็งและเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต เป็นตอนที่เรียกน้ำตาเราได้อย่างดี เพราะทิมและครอบครัวของจอห์นยังคงอยู่เคียงข้างจอห์นไม่ไปไหน มันให้ความรู้สึกอบอุ่นจนอินไปกับตัวละครมากๆ

สรุปแล้วควรค่าแก่การดูหรือไม่

ถือว่าเป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีพอสมควรเลยครับ สำหรับหลายๆเรื่องจนทำให้เราอินไปตัวกับละครและเข้าใจความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัว และสำหรับเพื่อนๆคนไหนที่สนใจการรีวิวหนังวาย สนุกๆมากมายหลากหลายอารมณ์ เพื่อนก็สามารถติดตามกันได้ที่ รีวิวหนังวาย

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *