
รีวิว Call Me By Your Name เนื้อเรื่อง
เป็นหนังที่คอหนังชาวไทยไม่น้อยตั้งหน้าตั้งตารอกันมาตั้งแต่ต้นปีเลย หลังจากชื่อของมันเริ่มถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของเทศกาลซันแดนซ์ประจำปีนี้ เรียกว่ากระแสนั้นมาแรงกว่า Dunkirk เสียอีก เพียงแต่ในแง่แมสแล้วมันยังไม่ไปถึงวงกว้าง แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือหนังเต็งออสการ์ที่ทางโซนี พิคเจอร์ส จับมือกับ เฮ้าส์ นำเข้ามาฉาย ซึ่งได้รับการจับตามองอย่างมาก โดยอีกหนึ่งไฮไลท์ในเรื่องนี้ก็คือ คุณสยมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพคู่ใจ ที่เคยกำกับภาพให้หนังของ ‘เจ้ย’ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล มาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น สุดสเน่หา, แสงศตวรรษ รวมทั้ง ผลงานมาสเตอร์พีชอย่าง ลุงบุญมีระลึกชาติ ที่เป็นเหมือนใบเบิกทางของเขาอย่างแท้จริง
สำหรับ Call Me By Your Name นั้นเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายโรแมนติกของ อังเดร เอซิแมน ที่พูดถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเอลิโอ (ทิโมธี ชาลาเมต) เด็กหนุ่มวัย 17 เชื้อสายอเมริกันอิตาเลียน-ยิว กับ โอลิเวอร์ (อาร์มี่ แฮมเมอร์) นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกันวัย 24 ปี ขณะมาช่วยงานคุณพ่อของเอลิโอ (ไมเคิล สตูห์ลบาร์ก) ช่วงปิดภาคฤดูร้อนในช่วงยุค 80 โดยเมื่อมาทำเป็นหนังในเวอร์ชันของผู้กำกับ ลูกา กัวดานิโน (The Big Splash, I Am Love) นั้นทาง เอซิแมน เองก็เข้ามาร่วมดัดแปลงบทหนังด้วยเช่นกัน รีวิวหนังวาย

จุดแข็งของ Call Me By Your Name ก็คือเรื่องการเดินเรื่อง ซึ่งด้วยตัวพลอตเดิมนั้นไม่ได้มีเนื้อหาสลับซับซ้อนอะไรอยู่แล้วในแง่บริบท แต่หนังลงน้ำหนักเต็มที่กับการเล่าในมุมของการสำรวจ เอลิโอ ตั้งแต่ตัวตนเดิมที่เขาเป็น จนกระทั่งมาเจอกับ โอลิเวอร์ หนังปูแบ็คกราวน์ในด้านอ่อนโยนของเด็กหนุ่มที่ดูภายนอกเหมือนจะมีเสน่ห์ไปในเชิงเพลย์บอยหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ แต่ความอ่อนโยนตรงนั้นแหละ ที่ถูกขยายออกจนประตูอีกบานเปิดออก ตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาเผยออกมา เจือปนกับความอยากรู้อยากเห็นและความสับสนในการค้นหาตัวเองในแบบฉบับหนัง coming of age
ตัวหนังเดินไปอย่างมีจังหวะเป็นธรรมชาติมาก เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ สไตล์แบบ narrative และนี่ไม่ใช่หนังเกย์จ๋า แต่ออกจะไปทาง Bisexual ผมชอบที่ เอลิโอ ปลดปล่อยความปรารถนาออกมาแบบไม่มีเหตุผลมาเจือปน ซึ่งหนุ่ม ทีโมธี ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก มันเป็นความรักแบบที่เราเคยรู้สึกได้สมัยเรียน วันที่ห้วงอารมณ์ของความรัก ความตื่นเต้น ปนเปรอไปกับความเศร้าและความกลัว ที่มันตีกันไปหมด มันไม่ใช่ความรักปรุงแต่งที่เป็นเหตุเป็นผลไปถึงหลังวันแต่งงาน แต่มันเป็นรักที่หากไปถามเอลิโอ ว่าทำไมถึงรักโอลิเวอร์ ปานจะแหกดากดมนัก เขาคงตอบได้แค่ว่า ‘ก็แค่รัก’ แค่นั้นจริง ๆ เพราะมันดิบมาก ซึ่งความสวยงามของหนังเรื่องนี้มันอยู่ที่ แววตาและความรู้สึกของ 2 คนนี้แหละ หนังทำให้เราได้ลุ้นว่า ‘เมื่อไหร่’ เอลิโอ และ โอลิเวอร์ จะ ‘คิดเหมือนกัน’ เสียที
รีวิว Call Me By Your Name เนื้อหาโดยรวม
Call Me By Your Name ใช้มุมกล้องที่ให้ความรู้สึกเหมือนหนังสมัยก่อน ยอมรับว่าชอบมู้ดแอนด์โทนของภาพบรรยากาศในหนังมาก มันกึ่ง ๆ จะพาเราไปทัศนศึกษาในมิลาน แต่เป็นมิลานที่อยู่ในนิยายฝัน ๆ อีกทีหนึ่ง สิ่งที่ชัดเจนที่คนดูได้เห็นจากหนังเรื่องนี้เลยก็คือ ความรักที่มาจากสัญชาตญาณของมนุษย์จริง ๆ ไม่มีค่านิยม มีแต่รสนิยมตรงหน้า เมื่อคุณเป็นเอลิโอ คุณจะเริ่มรักใครสักคน เปิดใจให้เขาเข้ามาในชีวิตเรา
ซึ่งนี่ก็คือนิยามรักทรงพลังและแสนจะคลาสสิกในแบบฉบับของ Call Me By Your Name โดยในช่วงท้ายของหนังนั้นก็แอบมีหักมุมเล็ก ๆ ซึ่งเป็นมุมที่มีแล้วเติมเต็มและอธิบายความรักให้ เอลิโอ ได้ดีที่สุด สิ่งที่น่าพิศวงและคาดเดายากพอ ๆ กับความตายก็คือ ‘ความรัก’ นี่แหละ มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะอายุเท่าไหร่ จะเป็นผู้ใหญ่ผ่านร้อนหนาวมาแค่ไหน ก็ยังเป็นเพียง ‘เด็กน้อย’ ในเรื่องของความรักอยู่วันยันค่ำ ดูหนัง,ดูหนังออนไลน์

ส่วนตัวนั้นชอบองค์ประกอบของหนังมาก โดยเฉพาะคอสตูมและการเซ็ตอัพฉากขึ้นมาในแต่ละซีน สามารถดึงความโดดเด่นเรื่องเทรนด์ในยุค 80 ออกมาได้คูลมาก ๆ แถมเก็บรายละเอียดทุกเม็ดสมราคาเต็งออสการ์ และถึงแม้ว่ามันอาจจะยากหน่อยที่เราจะได้เห็นหนังแนว LBGTQ คว้าออสการ์ 2 ปีติด (ต่อจาก Moonlight) แต่ก็ถือว่าด้วยคุณภาพนั้น มีสิทธิ์ลุ้นได้ยาว ๆ ครับ
เขาว่ากันว่า ก่อนหน้านี้มนุษย์ถูกสร้างให้มีร่างกายติดกัน มีทั้งคู่ชายชาย หญิงชาย และหญิงหญิง มนุษย์เรามีสี่แขน สี่ขา แต่เมื่อมนุษย์เริ่มก่อการกบฏ เทพเจ้าซุสจึงทำการผ่าร่างทั้งสองของมนุษย์ออกจากกัน มนุษย์ทั้งหลายเร่ร่อนไปมาตามลำพัง และเฝ้าตามหาอีกครึ่งหนึ่งของตนที่ขาดหายไป รีวิวหนังวายฮิต
หนังวายรักโรแมนติก
และเมื่อรักนำพาคนทั้งสองมาเจอกัน กลับมาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของกันและกัน เราจึงเรียกเขาด้วยชื่อเรา และเขาก็เรียกเราด้วยชื่อเขา, call me by your name, and I’ll call you by mine. นั่นหมายถึงเรากับเขาถือเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว ทั้งในด้านร่างกายและจิตวิญญาณ
เราชอบตำนานนี้มากๆ มันโรแมนติก เต็มไปด้วยความเข้าใจในรัก โดยไร้ซึ่งการตัดสิน การแบ่งแยก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เราก็เชื่อว่าถ้าเขาเป็นอีกครึ่งนึงของเราที่จากกันไปจริงๆ ยังไงความจริงข้อนี้มันก็ไม่เปลี่ยน
และเดือนธันวาคมนี้ ก็เป็นวันครบรอบที่ call me by your name ได้เข้ามาฉายในบ้านเรา การได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเลยก็ว่าได้ เราขอยกให้ cmbyn เป็นหนังที่ให้นิยามคำว่ารักออกมาได้ดีที่สุดอีกเรื่องนึง อยากแนะนำให้ทุกคนได้ดูกัน

หนังเล่าถึงครอบครัวของเอลิโอ ที่มีนักศึกษาฝึกงานอย่างโอลิเวอร์เข้ามาใช้ชีวิตด้วยในช่วงฤดูร้อน ระหว่างนั้นเองความผูกพันของคนทั้งสองก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย และความสัมพันธ์ในฤดูร้อนครั้งนั้นจะคงอยู่ในหัวใจของพวกเขาไปตลอดกาล
จริงๆ แล้วเรื่องราวมันมีอยู่แค่นี้ แต่ความสวยงามมันอยู่ระหว่างทางที่หนังค่อยๆ ให้คนดูเก็บเกี่ยวไปทีละน้อย ทั้งในแง่ของคำพูด สายตา ท่าทางที่คนทั้งคู่มีให้กัน เราชอบทุกอย่าง ทุกโมเม้นต์ที่เกิดขึ้นในหนัง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ส่งมาถึงหัวใจของคนดู เรามองเห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น แม้จะไม่มีใครแสดงออกมาอย่างชัดเจน แม้จะไม่มีคำบอกรักออกจากปากซักคำ
เราชอบบรรยากาศ ความเป็นอิตาลียิ่งทำให้ความโรแมนติกมันมากขึ้น แต่ด้วยความเป็นเมืองเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนักมันก็ทำให้เรารู้สึกเหงา เคว้งคว้าง แล้วพอความเหงามันมารวมตัวกับความโรแมนติก มันยิ่งดึงมู้ดเราให้พุ่งขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศของความรู้สึกมันปลกคลุมทั่วไปหมดเลยจริงๆ
บรรยากาศของเรื่อง
ทุกบทสนทนาที่ตัวละครส่งให้กัน มันดูเป็นแค่การคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ทั่วไป แต่พอมาอยู่ในหนังแล้วมันกลับดูมีความหมาย กลายเป็นสัญญาณ เป็นแรงดึงดูด เป็นเคมีบางอย่างที่ทำให้เราเชื่อว่าเขาทั้งสองต้องการกันและกันและเป็นของกันอย่างแท้จริง ทุกอย่างมันดูมีเสน่ห์โดยปราศจากความพยายามอย่างสิ้นเชิง ทำให้เราอยากฟังคนทั้งคู่คุยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ มองสายตาที่ทั้งคู่ส่งถึงกันแบบนี้ตลอดไป
ต้องชื่นชมนักแสดงทั้งสองคนที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ ทั้งตัวเอลิโอและโอลิเวอร์ (เราตกหลุมรักน้องทิโมจากเรื่องนี้เลย น้องทำออกมาได้ดีมาก) เหมือนทั้งคู่เกิดมาคู่กัน เป็นส่วนนึงของกันและกันจริงๆ อย่างในตำนาน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองมันดูงดงามไปหมด

หนังทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความรักแบบฉาบฉวย ไม่ใช่แค่เห็น แล้วชอบ แล้วจบ ดีไม่ดีสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังมันอาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นความรักด้วยซ้ำ แต่มันคือความรู้สึกของคนสองคนที่ส่งถึงกัน เป็นความรู้สึกดีๆ ที่อยากจะใช้ชีวิตด้วยกัน อยากจะสัมผัส อยากจะมองเห็น อยากจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป มันยิ่งทำให้เรารู้ว่าต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น หรือเวลาจะผ่านไปนานซักแค่ไหน หรือแม้ว่าแต่ละคนจะพบเจอกับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ยังไง แต่ฤดูร้อนนี้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานี้จะยังคงอยู่ในใจคนทั้งคู่ไม่มีวันเลือนลาง
รีวิว Call Me By Your Name ความรู้สึกตอนดู
เหมือนกับที่ความรู้สึกที่เราได้จากหนังเรื่องนี้ที่มันไม่เคยหายไปไหน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี แค่ได้เห็นรูป ฟังเพลง หรืออะไรซักอย่างที่ย้ำเตือนเราถึง cmbyn เพียงนิดเดียว ความรู้สึกที่เรามีต่อหนังเรื่องนี้มันก็พุ่งทะยานขึ้นมาแล้ว
ซีนจบมันกินใจมากจริงๆ เราชอบตั้งแต่ที่เอลิโอคุยกับพ่อ ลากยาวไปถึงสิ้นสุดเครดิต ตอนแรกใจมันก็แค่โหวงๆ มาตลอดทั้งเรื่อง ด้วยความครุกกรุ่นของความรัก สัมผัส ความเหงา ความเศร้า ความสวยงามของทั้งเรื่อง มู้ดมันยังนัวร์ๆ เบลอๆ อยู่ เหมือนกับหนังพาเรามองเห็นความสวยงามของเรื่องราวและความสัมพันธ์ ให้เราได้รู้ว่าสิ่งอันแสนวิเศษนี้มันได้เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นได้ตลอดไป บทสรุปของหนังมันเต็มไปด้วยความเข้าใจในความสวยงามของชีวิตและความรู้สึก ทำให้เรารู้จักที่จะโอบรับความอบอุ่นของมัน เรียนรู้ที่จะเก็บมันไว้ในหัวใจ และเข้าใจที่จะปล่อยมันไป

เรียกได้ว่าเป็นซีนที่แสนเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่จะเป็นอีกหนึ่ง Best Moment ของวงการภาพยนตร์ไปอีกยาวนานอย่างแน่นอน
เพลง original soundtrack คือดีมาก จริงๆ เราชอบหลายเพลง แต่ที่สุดคงต้องยกให้ mystery of love ยิ่งถ้าใครดูหนังแล้วมานั่งดูความหมายของเพลงจริงๆ มันทำให้เรารู้สึก รู้สึกมากๆ กว่าเดิมหลายเท่าตัว
นี่คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่เรารอคอยมาตลอดครึ่งปีหลังจากเห็นเทรลเลอร์สั้นๆ ที่ทำเอาตกหลุมรักมู้ดโทนในหนังไปหมดใจ Call Me By Your Name ฉบับภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของนักเขียนอเมริกัน อันเดร อาซิแมน (André Aciman) โดยได้ ลูก้า กัวดาญิโน (Luca Guadagnino) ผู้กำกับที่เคยสร้างผลงานลือเลื่องอย่าง I Am Love (2009) และ A Bigger Splash (2015) มารังสรรค์ โดยลูก้าบอกว่าเรื่องนี้ถือเป็นการปิดไตรภาคของภาพยนตร์ที่เขาตั้งใจเล่าเรื่องความปรารถนาได้อย่างสมบูรณ์
บทสรุปจบของเรื่อง
เกริ่นเรื่องย่อสั้นๆ ฤดูร้อนปี 1983 ทางตอนเหนือของอิตาลี เอลิโอ รับบทโดย ทิโมธี ซาลาเมต (Timothee Chalamet) เด็กชายวัย 17 ที่ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยในคฤหาสน์เก่าแก่กับครอบครัวโดยทั้งพ่อและแม่เป็นนักวิชาการ จนเมื่อ โอลิเวอร์ รับบทโดย อาร์มี่ แฮมเมอร์ (Armie Hammer) นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกันเดินทางมาช่วยงานวิจัยของพ่อเขา การปรากฏตัวของโอลิเวอร์ไม่เพียงทำให้เอลิโอรู้ว่าเขาช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร แต่ยังพาเขาไปยังสำรวจพื้นที่ใหม่ที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนอีกด้วย

สิ่งแรกที่ชวนเราเพลิดเพลินไปกับเวลา 2 ชั่วโมงกว่าของ Call Me By Your Name คืองานการกำกับภาพที่งามงด (ฝีมือของสยมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพชาวไทยที่เคยสร้างผลงานในหนังหลายเรื่องของอภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล) หนังถ่ายทำที่เมืองเครมาทางตอนเหนือของอิตาลีที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา ฉากสระว่ายน้ำ สนามหญ้า ทะเลตอนเหนือ และทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ถูกใช้เป็น ‘ตัวละคร’ ที่เสริมให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์กลมกล่อม รวมไปถึงสไตล์และสีสันของเสื้อผ้าตัวละครที่ชวนจัดวางมาอย่างดีก็ยิ่งทำให้เราอยากแพ็คกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปทดลองใช้ชีวิตไม่ต้องคิดอะไรแบบเอลิโอเดี๋ยวนี้เลย