รีวิว ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ

นับเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่น่าจับตามองเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากความทรงจำในช่วงมัธยมปลายของผู้กำกับ Patrick Kuang-Hui Liu (แพทริค หลิว) ซึ่งเขาได้นำความทรงจำบางส่วนที่เป็นชีวิตจริงของเขาเอง มาเป็นพล็อตของเรื่องที่บอกเล่าความแทนความรู้สึกของเกย์ที่ต้องต่อสู้กับทัศนคติทางสังคม เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของเขา และสามารถกวาดรายได้ไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญไต้หวัน จนคว้ารางวัลใหญ่อย่าง The Golden Horse Award 2020 (ม้าทองคำ) มาครอง

รีวิว ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ เนื้อเรื่อง 

เรื่องราวของ ชางเจียฮั่น/อาฮั่น (เอ็ดเวิร์ด เฉิน) และ หวังป๋อเต๋อ/เบอร์ดี้ (เจิง ชินฮัว) นักเรียนชาย ม. ปลาย 2 คนในโรงเรียนประจำชายล้วน ที่ได้พบกับมิตรภาพและรักแท้ที่มีต่อกัน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของไต้หวันจากสังคมอนุรักษ์นิยม สู่ประเทศที่เป็นมิตรกับกลุ่ม LGBTQ มากที่สุดในเอเชีย ภาพยนตร์เล่าย้อนไปในบรรยากาศของยุค 1980s ที่ไต้หวันเพิ่งยกเลิกกฎอัยการศึก และโรงเรียนประจำชายล้วนเริ่มเปิดรับนักเรียนหญิงเข้าเรียนเป็นครั้งแรก ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องเผชิญกับภาวะของการตัดสินใจหลายด้าน ทั้งสังคมที่ความเท่าเทียมและการยอมรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศยังไม่เปิดกว้างเท่าปัจจุบัน ทั้งความขัดแย้งในตัวเอง เรียกว่าเป็นศึกหนักของกลุ่มเพศทางเลือกในสมัยนั้น เพราะว่าสังคมยังไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้

ภาพยนตร์สร้างตัวละครหลักขึ้นมาคือ อาฮั่น เด็กหนุ่มตั้งคำถามต่อเพศสภาวะของตัวเอง เมื่อเขาเริ่มรู้สึกดีกับ เบอร์ดี้ เพื่อนชายที่ร่วมวงโยธวาทิตด้วยกัน จนกลายเป็นเพื่อนซี้และมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันในที่สุด แต่ทว่า บรรยากาศของโรงเรียนคาทอลิกการรักเพศเดียวกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม และหนักไปในทางผิดบาป บรรยากาศของหอนักเรียนชายที่เคร่งครัดไปด้วยกฎระเบียบ ความคาดหวังของครอบครัวชาวจีนที่ลูกชายเป็นความหวังสูงสุดของบ้าน สภาพสังคมที่ถูกควบคุมด้วยการเมืองช่วงผลิบาน และการไม่ยอมรับของสังคมทำให้เบอร์ดี้พยายามตีตัวออกห่าง และเริ่มคบหากับ ปันปัน (มิมิ เฉียว) เพื่อนนักเรียนหญิงด้วยกันเพื่อที่จะลองว่าตัวเองเป็นแบบไหน ดูหนังออนไลน์

รีวิว ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ

คำถามแรกเกิดขึ้นทันทีเลยว่าทำไมความรักของเพศเดียวกันจึงเป็นเรื่องผิดบาป ในหลักการศาสนา เรื่องนี้ไม่ใช่แค่คนดูเท่านั้นที่ตั้งคำถามแต่อาฮั่น ซึ่งเป็นตัวแทนของวัยรุ่นในสมัยนั้นก็ตั้งคำถามด้วยความเจ็บปวด คุณชอบผู้หญิงได้ผมชอบผู้ชายไม่ได้สินะ ความรักของคุณยิ่งใหญ่กว่าผมเหรอ ความรักของคุณกับผมมันต่างกันตรงไหน อาฮั่นใส่อารมณ์ด้วยประโยคนี้กับ คุณพ่อโอลิเวอร์ ที่เป็นทั้งบาทหลวงและครูผู้ควบคุมวงดนตรี เมื่อเขามาสารภาพรัก เพื่อจะได้รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากด้วยข้อพระคัมภีร์ song of solomon 8:7 (เพลงโซโลมอน บทที่ 8 ข้อที่ 7 ) “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นจะได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง” พระเจ้าไม่ได้กีดกันความรักค่ะ แต่พระองค์บอกว่า ไม่มีอะไรจะงดงามเท่ากับการแสดงความรัก แต่ความพยายามที่จะซื้อหาความรักด้วยเงินทอง เป็นสิ่งที่น่าดูหมิ่น เงินทองซื้อความรักไม่ได้ถ้าเงินหมดเค้าก็ไป ดูหนังฟรี

รีวิว ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ2

ซึ่งบทพยายามจะสื่อให้เราเข้าใจในพระคัมภีร์ข้อนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก เพราะฉะนั้นความเข้าใจในข้อพระคัมภีร์ มักจะถูกตีความโดยมนุษย์ไปตามความเข้าใจของแต่ละคนได้หลายทาง ซึ่งความเข้าใจของผู้กำกับเขาก็ตีความไปทางนี้นะคะ จากการสื่อสารตลอดทั้งเรื่องไปจนถึงตอนจบ ด้วยอารมณ์ของภาพ ด้วยดนตรีประกอบที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศเพลงแจ๊สเบา ๆ สร้างความรู้สึกให้อุ่นลึกเข้าไปอีก หนังพยายามสื่อให้เห็นอีกว่าเรื่องนี้มันเป็นไปได้ยากซะเหลือเกินในยุคสมัยนั้น ก็แปลว่าเป็นไปไม่ได้นั่นแหละ เพราะถึงแม้สังคมจะบอกว่าบ้านเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

ใครที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศย่อมตกเป็นเป้าของสังคม ต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้ง ดูถูกเหยียดหยาม นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมสมัยนั้น ทำให้อาฮั่นและเบอร์ดี้ต้องปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้จากสังคมโดยรอบ เพราะในยุคนั้นการเรียกร้องสิทธิเพื่อคนรักเพศเดียวกัน ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยในสังคมไต้หวัน ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว ก็เป็นแบบนี้กันแทบจะทั่วโลก รีวิวหนังวาย

รีวิว ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ3

แต่ความรู้สึกที่ถูกกดทับความต้องการ ได้ถูกเทไปที่อาฮั่นให้ต้องรับบทหนัก เพราะต้องแบกความรู้สึกของตัวเองที่เปิดเผยไมได้ ทั้งที่อยากเปิดเผยใจจะขาดเอาไว้เพียงลำพัง เบอร์ดี้เลือกที่จะเก็บความรู้สึกขงตัวเองไว้และปิดบังตัวตนไปในทางที่ตรงกันข้ามกับหัวใจ ซึ่งผลของมันก็จะออกมาในรูปแบบที่คุ้นเคยกันดีในสังคมปัจจุบัน

ภาพยนตร์พาเราเดินทางมาถึงตอนจบซึ่งเป็นยุคปัจจุบันที่ อาฮั่นและเบอร์ดี้อยู่ในวัยกลางคน โดยทิ้งรายละเอียดที่ผ่านมา หลังจากที่สองคนตัดสินใจกับชีวิตของตัวเองไปทั้งหมด คือไม่เล่าแล้ว ปล่อยให้เราน้ำตาแตกแล้วแก่เลย เรียกว่ามาขมวดจบในตอนท้ายจึ๋งเดียว เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม และทำให้ประโยคที่ว่า “รักแรกของทุกคน ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับหนังเรื่องดังนั่นแหละ” มีความหมายมากขึ้นไปอีก ในจุดนี้เข้าใจผู้กำกับเลยค่ะ ว่าเขาต้องผ่านช่วงเวลาที่แย่ขนาดนั้นมานานขนาดไหน กว่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วและเป็นไปในแบบที่พวกเขาในยุคก่อนไม่เคยจะนึกถึง

การเล่าเรื่องทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องบอกเลยว่าเป็นไปอย่างกระชับแต่ก็ไม่ยอมทิ้งรายละเอียดด้านความรู้สึกใด ๆ เลย โดยเฉพาะความรู้สึกในวัยเด็กที่พยายามเน้นหนักและสื่ออย่างตั้งใจเลยว่า ฉันอึดอัดนะ ฉันโดนกดความรู้สึกเอาไว้ด้วยสภาพสังคมนะ ฉันต่างก็ต่อสู้กับมันด้วยวิธีของฉัน มองความรักที่ผ่านมาของฉันสิว่ามันสวยงามและทุกข์ทรมานขนาดไหน ฉันผ่านมันมาด้วยความยากลำบาก แล้วเห็นไหมว่าสุดท้ายความรักของฉันยังคงอยู่ แต่ฉันกลับไม่เคยได้ดื่มด่ำกับมันในช่วงเวลานั้น และฉันก็ยังไม่เคยลืม

ฉากแต่ละฉากที่ภาพยนตร์สื่อสารออกมา สามารถเรียกน้ำตาและความรู้สึกร่วมออกมาได้ง่าย ๆ ในส่วนนี้นักแสดงและบทมีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกนั้นเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะเน้นหนักไปที่ช่วงชีวิตวัยเด็ก โดยปล่อยให้อีกช่วงวัยหนึ่งกลายเป็นบทสรุป ก็ถือเป็นคำถามที่เรารู้คำตอบดีอยู่แล้ว นักแสดงวัยผู้ใหญ่ออกมาปิดจ็อบในช่วงไม่กี่นาทีได้ดีเลยทีเดียวค่ะ กับประโยคที่ว่า “ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าอีก 30 ปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนไปขนาดนี้” เว็ปดูหนังฟรี

Your Name Engraved Herein เป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันในในยุค 80s ภาพยนตร์บอกเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครระหว่าง Chang Jia-han (A-han) และ Wang Bo Te (Birdy) ฟังดูเหมือนจะเป็นเพียงภาพยนตร์ coming of age ทั่วไปที่เริ่มต้นเรื่องราวด้วยมิตรภาพ ความบ้าบิ่นของวัยเยาว์ ก้าวข้ามผ่านความสับสนทางความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นความรัก แต่มันอาจเกินความคาดหมายของคุณ เพราะเนื้อหาของหนังที่มีความยาวเกือบสองชั่วโมงนั้นมีการสอดแทรกประเด็นที่น่าสนใจ สภาพสังคมของไต้หวันในยุคเก่าที่ยังไม่มีการตื่นตัวทางสังคม ยุคที่การรักร่วมเพศเป็นสิ่งต้องห้าม ผ่านเรื่องราวภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของไต้หวัน โครงสร้างทางสังคมที่เข้มงวด และประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในยุคของการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครองจากยุคเผด็จการที่เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยได้อย่างน่าสนใจ จึงทำให้เนื้อหาดูน่าสนใจมากขึ้น

ภาพยนตร์เริ่มต้นเรื่องราวในปี 1987 ซึ่งในปีนั้นไต้หวันเพิ่งมีการยกเลิก “กฎอัยการศึก” (martial law) หลังจากที่ถูกประกาศใช้มาอย่างยาวนานกว่า 38 ปี (1949 – 1987) ที่ไต้หวันถูกปกครองแบบเผด็จการภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง (Kuomintang; KMT) ที่เป็นพรรคการเมืองแนวอนุรักษนิยมของสาธารณรัฐจีน ดูหนังออนไลน์ 

 

ขอเล่าย้อนไปในยุคก่อนหน้าที่มีการปกครองรูปแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จในไต้หวันที่มีการสืบทอดอำนาจทางการเมือง การใช้อำนาจควบคุมและผลิตสื่อการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) รวมถึงจำกัดเสรีภาพของประชาชนห้ามไม่ให้มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ทำให้เกิดอุบัติการณ์ 228 ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ White Terror ในปี 1947 ที่รัฐบาลเริ่มปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ จนกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดขบวนการเรียกร้องเอกราชไต้หวันขึ้น จนในที่สุดรัฐบาลต้องมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกเพื่อควบคุมอย่างยาวนาน จึงทำให้ไม่มีใครสามารถพูดถึงอุบัติการณ์ 228 ได้อีก จึงทำให้เกิดการพัฒนาอะไรหลายๆอย่างขึ้นจากแต่ก่อนและมีการยอมรับในเรื่องเพศมากขึ้น

แม้ในเรื่องจะมีการกล่าวถึงการยกเลิกกฎอัยการศึกที่ทำให้เห็นว่าสังคมในยุคนั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการแล้ว ผู้คนในไต้หวันเริ่มมีความหวังในการออกมาเคลื่อนไหวทางสังคม

เหมือนที่ Birdy ได้พูดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมโดนจำกัดสิทธิโดนห้ามไม่ให้ร้องเพลง ไหนบอกยกเลิกกกฎอัยการศึกแล้ว? แต่ A-han ตอบกลับไปว่า นายคิดว่าโลกเปลี่ยนไปแล้วเหรอ? ที่จริงมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด

หลังจากการยกเลิกกฎอัยการศึกไม่นาน A-han และ Birdy เป็นตัวแทนโรงเรียนเดินทางไปไทเป เพื่อร่วมพิธีแสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของประธานาธิบดี Chiang Ching-kuo—สืบทอดอำนาจต่อจาก Chiang Kai-shek ผู้เป็นพ่อ จะเห็นได้ว่ามีคนอีกหลายกลุ่มที่มาร่วมงานและแสดงความเสียใจการจากไปของผู้นำทางการเมือง ด้วยบรรยากาศที่หม่นหมองเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทำให้ทั้งคู่ต้องพยายามทำตัวเศร้าและแสร้งร้องไห้เพื่อสวดภาวนาให้เขาไปด้วย ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาทำความดีงามอะไรไว้ บทในซีนนี้ยังแฝงการจิกกัดได้อย่างแนบเนียน และทำให้เราได้เข้าใจเรื่องราวหลายๆอย่างมากขึ้น

 

สรุปเรื่องนี้ ตามทัศนะของผมแล้ว

จะว่าเศร้าก็เศร้า จะว่าไม่เศร้าก็ไม่เศร้า
สำหรับผม ดูจบแล้วหน่วงไปเป็นวันเลยนะ
แต่ยังดีที่หนังเคลียร์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่
ถือว่าจบสวยกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยดูมาหลายเรื่อง

สุดท้ายและท้ายสุด หากใครได้ดูเรื่องนี้แล้วมีความเห็นไม่ตรงกับเรา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บางครั้งเราทุกคนล้วนมีตอนจบในแบบที่เราอยากได้  และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ตอบกับเราตรง ๆ ว่าสุดท้ายเรื่องราวความรักของอาฮั่นและเบอร์ดี้เป็นอย่างไรหลังจากที่ทั้งสอนหวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ระหว่างทางทั้งคู่ล้วนประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย

สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เต็ม ๆ ก็อาจจะจินตนาการไม่ออกว่าบรรยากาศในเรื่องเป็นอย่างไร แต่สำหรับใครที่ดูตัวอย่างหรือพอรู้เรื่องมาคร่าว ๆ แล้วก็จะเข้าใจมากขึ้นว่าก่อนหน้าที่จะมีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกหรือในช่วงหลังประกาศยกเลิก ย้อนกลับไปยุค 90 ของไต้หวันอีกครั้ง การชอบเพศเดียวกันในไต้หวันยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ก็ได้มีการเคลื่อนไหวมาก่อนหน้านั้นแล้ว เราจะเห็นได้จากฉากที่มีการยืนประท้วงเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมของกลุ่ม LGBTQ+ ในการแต่งงาน สะท้อนการเรียกร้องเรื่องสิทธิมนุษยชนในไต้หวันช่วงนั้น หรือแม้แต่กระทั่งคำพูดของอาฮั่น

และสำหรับเพื่อนๆคนไหนที่สนใจการรีวิวหนังวาย สนุกๆมากมายหลากหลายอารมณ์ เพื่อนก็สามารถติดตามกันได้ที่ รีวิวหนังวาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *